ในบทนี้ผมขอสรุปเป็นเนื้อหาเด่นๆดีกว่านะครับ เพราะโดยเนื้อหาบทนี้มันเป็น concept ดี
คือปริมาณสารตั้งต้น ที่ลดลง หรือ ปริมาณของproducts ที่เพิ่มขึ้นในหนึ่งหน่วยเวลา
A + B -------> C + D
ให้ r คือ rate of reaction (อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี) จะได้ว่า
r = ปริมาณที่ลดลงของ A หรือ B / เวลา <-----
มองที่สารตั้งต้น(ractants)
หรือ
r = ปริมาณที่เพิ่มขึ้นของ C หรือ D / เวลา
<------ มองที่products
ทีนี้ลองดูปฏิกิริยานี้
2A
+ B ------> 3C
จะได้ว่า
อัตราการลดลงของ A (ra) =
ปริมาณ A ที่ลดลง / เวลา
อัตราการลดลงของ B (rb) = ปริมาณ B ที่ลดลง
/ เวลา
อัตราการเพิ่มของ C (rc) = ปริมาณ C ที่เพิ่มขึนหรือเกิดขึ้น
/ เวลา
อัตราการเพิ่มของ D (rd) = ปริมาณ D ที่เพิ่มขึนหรือเกิดขึ้น
/ เวลา
ดังนั้นจะได้ว่า
อัตราการเกิดปฏิกิริยา
(r) = 1/2 (ra) = rb = 1/2 (rc) = 1/3
(rd)
นั่นก็คือ
จากสมการของความสัมพันธ์ข้างบน แปลว่า ถ้าเรารู้อัตราการเกิด หรือ ลด
ของสารใดสารหนึ่ง เราสามารถคำนวณหา อัตราการเกิดปฏิกิริยาได้
ดังนั้นแล้วจึงมีการนำเอาเลขโมลข้างหน้าสารในสมการเคมี "มาหารอัตราการเกิด(ลด)
ของสารแต่ละตัวของใครของมัน" ดังนั้นเลขโมลจึงเปรียบเหมือน conversion factor
(ตัวเปลี่ยนค่า) ที่ใช่เปลี่ยน อัตราการเกิด(ลด) ของสาร ไปเป็น
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ในที่นี้ เลขโมลหน้า B เท่ากับ 1 จึงสรุปว่า
อัตราการลดลงของ B ก็คือ อัตราการเกิดปกิริยานั่นเอง
การวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
- จะวัดอย่างไงขึ้นอยู่กับความง่ายในการวัด
-
ชั่งมวลดูว่าเพิ่ม/ลด เท่าไหร่ภายในเวลาที่กำหนด
- วัดปริมาตรที่เพิ่มขึ้น
ถ้าปฏิกิริยา มี gas เกิดขึ้น
- วัดปริมาตรที่ลดลง ถ้าปฏิกิริยา มี gas
เป็นสารตั้งตน และ productsที่ได้ไม่ใช่ gas
- สำหรับระบบที่มี gas นอกจากวัด
ปริมาตร เรายังวัด ความดัน ที่เกิดขึ้น หรือ ลดลงได้ แทนการวัดปริมาตร
ซึ่งในบางครั้งทำได้ง่ายกว่า
- วัดสี
หากปฏิกิริยาเป็นปฏิกิริยาที่มีสีเกี่ยวข้อง หมายความว่าเราอาจวัดการลดลง หรือ
เพิ่มขึ้นของสีได้
แล้วสารมันทำปฏิกิริยาได้อย่างไงล่ะหาาา
ก็มีคนเก่งได้ตั้ง theory ไว้อธิบายให้เราได้เห็นภาพ ถึง 2
theories
1) Collision theory ( ทฤษฎี การชนกัน) เมื่อเราใช่ activation energy มาร่วมพิจรณา จึงสรุปได้ว่า
อัตราปฏิกิริยาขึ้นกับ
1. พลังงานกระตุ้น (Ea) ซึ่งถ้า Ea มีค่ายิ่งน้อย
ปฏิกิริยาจะยิ่งเกิดง่าย ( the less the better)
theory นี้บอกว่า
โมเลกุลของสารต้องมีการเคลื่อนที่นะ แล้วเคลื่อนที่มาชนกันด้วย ดังนั้นจึงมี 2
ปัจจัยหลัก ที่ควบคุมเหตุการณ์นี้อยู่
1.1) พลังงานจลน์ ของอนุภาค
ต้องมากพอที่จะขับเคลื่อน
ให้อนุภาคของสารเคื่อนที่แล้วชนกันเกิดพลังงานศักย์มากพอที่จะ
สลายพนธะเก่าแล้วสร้างพัธะใหม่ (เกิดปฏิกิริยานั่นเอง)
1.2)
ทิศทางการชนกัน ต้องชนกันในทิศทางที่เหมาะสม
จึงจะเกิดปฏิกิริยา
*ดังนั้นสรุปได้ว่า ถ้าว่าด้วยหลังของทฤษฎีการชนกัน
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะขึ้นกับ
- ความถี่ในการชนกัน
- %
การชนกันของอนุภาคที่เป็นผลสำเร็จ (ชนแล้วเกิดproduct)
เพื่อความเข้าใจทฤษฎี
นี้อย่างสมบูรณ์ จึงมีการใช่เรื่องของ activation
energy ( พลังงานกระตุ้น) มาช่วยอธิบาย
*** จึงกล่าวว่า
การชนกันต้องเกิดพลังงานศักย์ค่าหนึ่งอย่างน้อยสุดต้องเท่า
พลังงานกระตุ้นจึงจะเกิดปกิกิริยา***
2.
จำนวนอนุภาคที่มีพลังงานสูงพอที่จะทำให้เกิดการชนกันแล้วได้พลังงานเท่า
Ea
2) Activated Complex
Theory หรือ Transition State Theory
ทฤษฎีนี้บอกว่า อนุภาค หรือ
โมเลกุลของสารจะเคลื่อนที่มาอยู่ใกล้กันแล้วรวมตัวเกิดป็น activated complex
(สารประกอปเชิงซ้อนที่ถูกกระตุ้น) ที่ไม่อยู่ตัว(stable)พร้อมจะเปลี่ยนแปลงกลับ
ไปเป็น สารตั้งต้นอย่างเดิม หรือ เปลี่ยนแปลงต่อไปเกิดเป็น products ขึ้นอยู่กับว่า
activated complex นั้นมีพลังงานสูงพอ อย่างน้อยเท่ากับ Ea หรือไม่
ค่า Ea กับ ปฏิกิริยาหลายขั้นตอน
ก่อนอื่นเราต้องรู้จัก
กลไกลของปฏิกิริยาก่อน Hbr + O2 -----> HOOBr -----(2) เกิดช้า
4Hbr(g) + O2(g) ------->
2H2O(l) + 2Br(g) ---------(1)
HOOBr + Hbr ----->
2HOBr -----(3) เกิดเร็ว
HOBr + HBr -----> H2O + Br2
-----(4) เกิดเร็ว
เมื่อดูที่ (1) จะเกิดได้ต้องหมายความว่า โมเลกุลทั้ง 5 ต้องมาชนพร้อมๆกันพอดี ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก แต่ปฏิกิริยาเกิดขึ้นได้ เพราะมันมีการชนกันเป็นขั้นๆ ซึ่ง (2), (3), (4) เป็น ปฏิกิริยาย่อยของ (1) ซึ่งทั้ง 3 ปฏิกิริยาย่อย เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจาก การชนกันของ 2 อนุภาคเท่านั้น และสำหรับปฏิกิริยาหลายขั้นตอนแบบนี้ ความเร็วของอัตราการเกิดปฏิกิริยา ขึ้นกับ ปฏิกิริยาย่อยที่เกิดช้าสุดเรียกว่า rate limiting step สำหรับสมการข้างบน (2) เป็น เป็น rate limiting step ( ขั้นตอนกำหนดอัตรา) ดังนั้น Ea ของ (1) จึงเท่ากับ Ea ของ (2)
ปัจจัยที่มีผลต่อปฏิกิริยาเคมี
1. ธรรมชาติของสาร
2.
ความเข้มข้นของสารตั้งต้น
3. พื้นที่ผิว
4. อุณหภูมิ
5. ความดัน
การเพิ่มความดันในระบบที่มี gas ก้เป็นการเพิ่มความเข้มข้นนั้นเอง
6. ตัวเร่ง
และตัวหน่วง ปฏิกิริยา มันจะไปลด / เพิ่ม Eaของปฏิกิริยา
ผมขอเลือกพูดแต่ตัวที่มีเนื้อหามากแล้วกันนะครับ ตัวอื่นน้องๆคงอ่านกันเองได้โดยง่าย
ผลของความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่มีต่อ r
- อัตราของปฏิกิริยา(r) อาจขึ้นกับ ความเข้มข้น []
ของสารตั้งต้นทุกตัวหรือ ตัวใดตัวหนึ่งก้ได้
- ในบางปฏิกิริยา r ก้ไม่ขึ้นกับ []
ของสารตั้งต้นเลย เช่นในสภาวะที่มีสารตั้งต้นในปริมาณมากๆๆๆเกินพอ
กฏอัตรา และ ค่าคงที่ของอัตรา
nA + mB -----> C
r = K[A]n[B]m
เมื่อ
K = rate constant , คงที่ ณ temp หนึ่งๆ
อาจเรียกว่า specific constant ก็ได้
n และ m เป็นค่าที่หาได้จากการทดลอง
แต่ในบางกรณี n และ m
มีค่าเท่ากับเลขโมลหน้าสารในสมการที่ดุลแล้ว
แต่!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ในปฏิกริยาหลายขั้นตอน
ค่า n และ m มีค่าไม่เท่ากับเลขโมลหน้าสาร เพราะ r ขึ้นกับ ปฏิกิริยาที่เกิดช้าสุด
เช่น
2NO + 2H2 -----> N2 +
2H2O ----- (1)
มี 2 ขั้นตอน
2NO + H2 ----->
N2 + H2O2 -----(2)
เกิดช้า
H2O2 + H2 -----> 2H2O
----- (3) เกิดเร็ว
ฉนั้น
r = K[NO]2[H2]
ไม่ใช่
r =
K[NO]2[H2]2
ดังนั้นในกรณีแบบนี้ n และ m
เป็นค่าที่หาได้จากการทดลองเท่านั้น
การที่เพิ่ม [ ] ของสารตั้งต้นแล้วทำให้ r เพิ่ม เพราะ เมื่อ [ ] เพิ่ม อนุภาคของสารจะมากขึ้น มีอนุภาคพลังงานสูงมากขึ้น เป็นการเพิ่ม % การชนกัน และความถี่ในการชนกันนั่นเอง
ผลของพื้นที่ผิว
- จะมีผลกับปฏิกิริยาเนื้อผสมเท่านั้น เช่า gas
กับของแข็ง, ของเหลวกับของแข็ง
- ถ้าเราเพิ่ม พ.ท ผิว โดยการบดของแข็งให้ละเอียด
หรือ ตีมันให้เป็นแผ่นบางลง ไม่ใช่โดยการเพิ่มปริมาณ จะทำให้ ปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น
และสิ้นสุดเร็วขึ้น ได้ products เท่าเดิม เมื่อเทียบกับยังที่ไม่ได้บด
-
ถ้าเพิ่ม พ.ท. ผิว โดยเพิ่ม ปริมาณ ปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้นพร้อมทั้ง ได้ product
เพิ่งขึ้นด้วย
- การเพิ่ม พ.ท.
ผิวก็คือการเพิ่มความถี่ในการชนกันนั้นเอง
ผลของ temperature
- การเพิ่ม Temp เป็นการเพิ่มพลังงานจลน์ให้แก่อนุภาค
ทำให้อนุภาคเคลื่อนที่เร็วขึ้น จึงเพิ่มโอกาศการชนกัน แต่!!!!
นี่ไม่ใช่เหตุผมหลักนะครับ
- การเพิ่ม Temp เป็นการเพิ่มจำนวนอนุภาคพลังงานสูง
ที่เมื่อชนกันแล้วเกิดผลสำเร็จ ได้ พลังงานศักย์ = พลังงานกระตุ้น คือเกิดปฏิกิริยา
นี่เป็นเหตุผลหลักครับ